บทความ

ความหมายของการวิจัย

การวิจัยตรงกับภาษาอังกฤษ Research เป็นคําผสมระหว่างคําว่า Re แปลว่า “อีก” “ภายหลัง” Search แปลว่า “ค้นหา” “ค้นคว้า” “สืบค้น” เมื่อนํามารวมกันจึงได้ความหมายว่า เป็นการค้นข้อมูลความรู้และความจริงอีกครั้งหรือหลายครั้ง ดังนั้นการวิจัยจึงหมายถึงกระบวนการค้นหาข้อมูลความรู้ หรือหมายถึงการศึกษาเรียนรู้ข้อเท็จจริงอย่างละเอียดและเรียนรู้กฎเกณฑ์ที่เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ หรือเป็นการทดสอบสิ่งที่คิด (ประเวศน์ มหารัตน์สกุล, 2557 : 16) แสดงว่าข้อมูล ความรู้มีอยู่ในโลกความเป็นจริงของสังคมมนุษย์ ทําให้มนุษย์ทราบและรู้ความจริงในปรากฏการณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ คําถามที่ตามมามนุษย์ต้องการทราบและรู้ไปทําไม คําตอบง่ายๆ คือ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการวางแผน การบริหารจัดการ บางคนอาจต้องการยืนยันความรู้ที่ปรากฏในรูปของทฤษฎีว่าเป็นจริงหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ที่ทําวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research)

ในส่วนของนักวิชาการในต่างประเทศ อย่างเช่น สเตค (Stake, 2010 : 13) ได้ให้ความหมายการวิจัย หมายถึง การสืบค้น สอบถาม สอบสวน (inquiry) การศึกษาอย่างรอบคอบ และการแสวงหาความรู้เพื่อเข้าใจการทําหน้าที่ของสรรพสิ่ง ซึ่งสรรพสิ่ง (things) ในทางการวิจัยอาจหมายถึงองค์การ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับวัด ประสิทธิผล นโยบายสาธารณะ ประสิทธิภาพในการจัดการ เป็นต้น และถ้าตามพจนานุกรมเคมบริจด์ (Cambridge Dictionary) การวิจัย (อังกฤษ : research) หมายถึง การศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (subject) เพื่อค้นหาสารสนเทศใหม่ (new information) หรือเพื่อความเข้าใจใหม่ (new under- standing) หรือหมายถึง การกระทําของมนุษย์เพื่อค้นหาความจริงในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กระทําด้วยพื้นฐานของปัญญา ความมุ่งหมายหลักในการทําวิจัยเพื่อการค้นพบ (discovering) การแปลความหมาย (interpretation) และการพัฒนากรรมวิธีและระบบสู่ความก้าวหน้าในความรู้ด้านต่างๆ ในเชิงวิทยาศาสตร์ที่หลากหลายในโลกและจักรวาล การวิจัยอาจใช้หรือไม่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ ดังกรณีการค้นพบแรงโน้มถ่วงของโลกของนิวตัน และกาลิเลโอค้นพบว่าโลกมิใช่ศูนย์กลางของจักรวาล

การวิจัยเพื่อให้รู้ว่าสรรพสิ่งหรือปรากฏการณ์ทําหน้าที่อย่างไร อาจต้องใช้ความรู้ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ (Roth, 2008) การใช้ความคิดและความรู้ด้านใด ด้านหนึ่งอาจเข้าไม่ถึงความจริงของความรู้ หรือไม่เข้าใจความรู้ในความจริง ทั้งนี้ความคิดเชิงปริมาณและความคิดเชิงคุณภาพต่างมีจุดแข็งจุดอ่อนต่างกันและยังขึ้นอยู่กับแต่ละภาพของปรากฏการณ์ทางกายภาพ (physical mechanisms) ซึ่งการใช้ความคิดเชิงคุณภาพอาจดูผลจากปรากฏการณ์ ข้อจํากัดทางทรัพยากร อาจแตกต่างกันทั้งในเรื่องของเวลา สถานที่ ขนาด และเงื่อนไขของสภาพแวดล้อม ตัวตัดสินในการลำดับความสําคัญ เช่น การที่แพทย์วินิจฉัยโรคจากอาการของคนไข้ แล้วสืบค้นหาสาเหตุ ซึ่งคนไข้แต่ละรายอาจมีอาการไม่เหมือนกัน แม้บางครั้งมีสาเหตุเหมือนกันแต่แสดงอาการไม่เหมือนกัน โดยพื้นฐานการวิจัยมีสองประเภทได้แก่การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ปัจจุบันเห็นว่าการดําเนินการวิจัยประเภทใดประเภทหนึ่งเพื่อทําความเข้าใจการทําหน้าที่ของปรากฏการณ์หรืออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ไม่สามารถทําให้เข้าใจ หรืออธิบายปรากฏการณ์ได้ครบถ้วนและถูกต้องจึงนิยมใช้การวิจัยแบบผสานวิธี

การศึกษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปรากฏการณ์ใดปรากฏหนึ่ง จะใช้การวิจัยประเภทใดขึ้นอยู่กับประเด็นปัญหาการวิจัยที่ศึกษา และการยอมรับของผู้ที่ต้องการใช้ผลการวิจัยเพื่อประกอบการตัดสินใจในการวางแผน การแก้ไขปัญหาหรือการยอมรับองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย ประเด็นที่ผู้วิจัยต้องตระหนักอยู่ตลอดเวลาคือข้อมูล (data) สารสนเทศ (information) และความรู้ (knowledge) มีคุณค่าต่างกัน ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมนํามาจัดระบบระเบียบให้เป็นสารสนเทศผ่านกระบวนการวิเคราะห์ได้ผลการวิจัยที่มีสถานะเป็นความรู้

กล่าวโดยสรุปการวิจัย เป็นการศึกษาค้นคว้าหาความจริงของปรากฏการณ์ทั้งทางสังคมศาสตร์และทางวิทยาศาสตร์โดยวิธีการอย่างมีระบบที่เชื่อถือได้ ที่เป็นหลักการวิทยาศาสตร์ การทําวิจัยจะเริ่มจากปัญหาการวิจัย แล้วคาดเดาคำตอบอย่างมีหลักการด้วยวิธีการกําหนดคําถามการวิจัยและการตั้งสมมติฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลและการทดสอบสมมติฐานการตีความเพื่อให้ได้ความรู้ยืนยัน หรือหักล้างสมมติฐานหรือทําความเข้าใจการทําหน้าที่ของสรรพสิ่ง

 

 

 

การนําเสนอเค้าโครงการวิจัย

ก่อนที่จะทําการวิจัยควรมีการเขียนเป็นโครงการวิจัยในรูปแบบเค้าโครงการวิจัยเพื่อแสดงให้เห็นถึงโครงร่างและกระบวนการวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการวิจัย โดยต้องเข้าใจว่ากระบวนการที่จะนําเสนอนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของการวิจัยว่า เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณหรือการวิจัยแบบผสานวิธี ซึ่งทั้งสามประเภทจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของปรัชญาในการศึกษา วัตถุประสงค์ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ การออกแบบเค้าโครงการวิจัยเปรียบเสมือนแผนที่ที่ผู้วิจัยสามารถดําเนินงานวิจัยได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเห็นภาพโดยรวมทั้งหมดของโครงการวิจัย ในขั้นตอนการเสนอเค้าโครงการวิจัยมีความสําคัญมากสําหรับการทําวิจัยเนื่องจากจะชี้ให้เห็นว่าผู้ที่จะทําการวิจัยมีความเข้าใจเรื่องหรือปรากฏการณ์ที่จะศึกษาวิจัยเพียงใด เข้าใจองค์ความรู้การวิจัยเพียงใด การทําวิจัยไม่เพียงแต่ผู้วิจัยต้องการองค์ความรู้จากการวิจัยเท่านั้น ยังนําผลการวิจัยไปใช้กับการแก้ไขปัญหา การบริหาร การพัฒนางาน รวมทั้งต้องการให้ผลการวิจัยเป็นที่สนใจของผู้อื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนหรือสังคม กล่าวคือผลการวิจัยต้องมีคุณค่าต่อมนุษยชาติด้วย มิใช่ทําวิจัยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือธุรกิจการค้าแต่ฝ่ายเดียว ในเบื้องต้นก่อนตัดสินใจว่าจะทําวิจัยเรื่องอะไร แมกซ์เวลล์ (Maxwell, 2005) ชี้แนะว่า ควรตอบคําถามดังต่อไปนี้ให้ได้

  1. อะไรที่จะทําให้ผู้อ่านมีความเข้าใจได้ดีเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย
  2. อะไรที่จะเป็นอุปสรรคทําให้ผู้อ่านรู้เพียงเล็กน้อยในเรื่องที่วิจัย

3.การจะทําให้สิ่งที่ค้นพบในการวิจัยให้มีความแม่นตรงได้อย่างไร

  1. มีประเด็นจริยธรรมอะไรจากการนําเสนอผลงานวิจัย
  2. ผลลัพธ์เบื้องต้นคืออะไรที่แสดงถึงการปฏิบัติได้และคุณค่าของการศึกษาวิจัยคืออะไร

เมื่อตอบคําถามข้างต้นได้แล้ว ทีนี้ต้องออกแบบกระบวนการในการวิจัยตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ นักวิจัยต้องคิดว่าจะมีการนําเสนอประเด็นหัวข้ออะไรบ้าง โดยกําหนดกระบวนการหลักตามประเภทและรูปแบบการวิจัย เช่น กรณีการวิจัยเชิงคุณภาพ มีลําดับการนําเสนอดังนี้ บทนํา (introduction) กระบวนการ (procedures) ประเด็นจริยธรรมที่อาจเกิดขึ้น (anticipated ethical issues) สิ่งที่ค้นพบเบื้องต้น (ถ้ามี) ผลลัพธ์ที่คาดหวัง (expected outcomes) ภาคผนวก (appendixes) กรณี การวิจัยเชิงปริมาณมีลําดับการนําเสนอดังนี้ บทนํา การทบทวนวรรณกรรม ระเบียบ วิธีวิจัย จริยธรรมในการศึกษา ผลการวิเคราะห์ข้อมูล อภิปรายผล สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ

การเสนอเค้าโครงการวิจัย เบื้องต้นผู้วิจัยต้องรู้ก่อนว่า เรื่องที่ตนเองศึกษา มีจุดมุ่งหมายต้องการคําอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามหรือต้องการความเข้าใจในการทําหน้าที่ของสิ่ง หรือปรากฏการณ์ที่ศึกษา ถ้าต้องการคําอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร เป็นการใช้การวิจัยเชิงปริมาณแบบสํารวจ ความเห็นคิด หรือการรับรู้น่าจะได้คําตอบที่แม่นตรง ถ้าต้องการทําความเข้าใจในปรากฏการณ์ การวิจัยเชิงคุณภาพน่าจะเหมาะสมกว่า ถ้าต้องการคําอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และต้องการความเข้าใจปรากฏการณ์ในเชิงลึกด้วย การวิจัยแบบผสานวิธีน่าจะเหมาะสมกว่า ดังนี้เป็นการออกแบบความคิดการวิจัยในเบื้องต้นให้มีความชัดเจนก่อน ไม่เช่นนั้นเมื่อดําเนินงานกระบวนการวิจัยในขั้นตอนต่อไปจะก่อให้เกิดความสับสนและความสับสนจะกลายเป็นบ่อเกิดของความไม่แม่นตรงและไม่น่าเชื่อถือในผลการวิจัยเป็นลําดับถัดไป

 

รวมวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างสําหรับการวิจัย

การเลือกประชากรเเละกลุ่มตัวอย่างที่ผู้วิจัยทำงานวิจัยในบทที่ 3 นั้น ประชากรที่วิจัยอาจเป็น คน สัตว์ สิ่งของ องค์กร ที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาวิจัย โดยผู้วิจัยต้องการศึกษาวิจัยข้อมูลของประชากร สิ่งที่ต้องคิดต่อว่า ถ้าประชากรเหล่านั้นมีจํานวนมาก การศึกษาข้อมูลอาจต้องใช้ทรัพยากรมาก ไม่ว่าจะเป็นเงิน กําลังคนและเวลา การศึกษาวิจัยประชากรที่มีขนาดใหญ่ หรือปริมาณมาก กว่าจะทราบผลอาจไม่ทันที่จะนําผลการวิจัยไปใช้ในการตัดสินใจหรือพัฒนางาน ในทางสถิติการวิจัยการใช้ประชากรขนาดใหญ่อาจไม่มีความจําเป็น สามารถศึกษาข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างเพื่อเป็นตัวแทนของประชากรได้ ด้วยเหตุนี้ การวิจัยจึงต้องนําวิชาสถิติมาเป็นเครื่องมือในการเลือกตัวอย่างและเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง อย่างไรก็ดี การเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชากรทั้งหมดได้มีการดําเนินการอยู่เช่นกันที่เรียกว่า การสํารวจสํามะโนครัว เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนพัฒนาประเทศ

ในทางวิชาการและการบริหาร สามารถศึกษาข้อมูลประชากรทั้งหมดได้จากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้กระบวนการการวิจัย ได้ผลไม่แตกต่างจากการสํารวจสํามะโนครัว แต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก ดังนั้น การวิจัยจึงใช้วิธีการศึกษาข้อมูลจากตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของประชากร ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างตามวิธีการทางสถิติ

ประชากรที่วิจัย หมายถึงสิ่งที่จะให้ข้อมูล เช่น ศึกษาความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการสาธารณะของเทศบาลตําบล ก. ประชากรคือ ประชาชนที่อยู่ภายในเขตปกครองของเทศบาลตําบล ก. หรือต้องการวิจัยเรื่อง “ความพึงพอใจของผู้รับการฝึกอบรมหลักสูตรธรรมาภิบาล” ประชากรคือ ผู้เข้ารับการฝึกอบรม เป็นต้น

การเลือกตัวอย่างสําหรับการวิจัยเชิงปริมาณควรมีขนาดเท่าใดที่ใช้ เป็นตัวแทนประชากร สามารถคํานวณได้จากสูตรซึ่งมีอยู่หลายสูตร แต่ที่นิยมกัน คือใช้สูตรของยามาเน่ (Yamane 1973 : 125) โดยผู้วิจัยต้องทราบจํานวนประชากรมีเท่าใด แล้วจะใช้ขนาดตัวอย่างเท่าใดที่ถือว่าสามารถเป็นตัวแทนของประชากรได้ ผู้วิจัยสามารถคํานวณได้จากสูตรของยามาเน่ ในการเขียนบทว่าด้วยวิธีการศึกษาหรือระเบียบวิธีวิจัย ผู้วิจัยควรแสดงวิธีการคํานวณให้ดูด้วย

การหาขนาดตัวอย่างนอกจากใช้สูตรยามาเน่ ผู้วิจัยสามารถใช้สูตรอื่นที่เป็นที่ยอมรับตามหลักวิชาสถิติได้เช่นกัน ในการปฏิบัติงานภาคสนามผู้วิจัยอาจทอดแบบสอบถามมากกว่าขนาดตัวอย่างได้พอสมควรประมาณ 10 – 20% ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในกรณีที่จําเป็นต้องคัดเลือกเอาเฉพาะแบบสอบถามที่ประชากรตัวอย่างให้ข้อมูลไม่ครบสมบูรณ์ ซึ่งจะมีแบบสอบถามบางฉบับที่ไม่สมบูรณ์คัดออก การทําเช่นนี้ ทําให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเก็บข้อมูลภาคสนามซ้ำอีกเพื่อชดเชยแบบสอบถามที่ไม่สมบูรณ์

แต่ถ้าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจะใช้วิธีเลือกตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงที่เห็นว่าเป็นตัวแทนประชากรที่น่าจะให้ข้อมูลตรงประเด็นที่วิจัย อย่างไรก็ดีการเก็บข้อมูลจากภาคสนามยังเป็นความจําเป็นเพื่อความครบถ้วนของข้อมูล ส่วนการวิจัยประเภทผสานวิธีขึ้นอยู่กับรูปแบบของการวิจัย ถ้าเป็นแบบลําดับผลที่ได้จากการวิจัยเชิงปริมาณ อาจใช้เป็นประเด็นในการศึกษาข้อมูลเชิงลึก จึงใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ

 

บทที่1 ว่าด้วยบทนํา

บทนําเป็นการเขียนนําเรื่องอธิบายความเป็นมาและความสําคัญของปัญหาเรื่องที่วิจัย บทนี้เป็นบทที่ผู้วิจัยรู้อยู่แล้วว่า เป็นการวิจัยเรื่องอะไร ต้องการจะศึกษาตัวแปรเหตุ (ตัวแปรอิสระ) ที่มีความ สัมพันธ์กับตัวแปรตามของปรากฏการณ์ซึ่งถูกกําหนดไว้ภายใต้กรอบแนวคิดในการวิจัย ขณะเขียนต้องคํานึงถึงกรอบแนวคิดในการวิจัย การเขียนบทนี้ผู้เขียนตั้งชื่อเรื่องที่ศึกษาไว้แล้ว โดยทั่วไปจะกําหนดชื่อเรื่องในการวิจัยสอดคล้องตามตัวแปรตาม เช่น ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในเขตปกครององค์การบริหารส่วนตําบล ก. ศึกษาประสิทธิผลการบริหารโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ ฯลฯ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ถึงความตั้งใจของผู้วิจัย ความสําคัญของปัญหาที่ต้องวิจัยในเรื่องนั้น บ่งชี้เป็นนัยถึงผลการวิจัยว่าจะนํามาแก้ปัญหาได้หรือไม่ บทนําจะครอบคลุมหัวข้อดังนี้ ความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา คําถามในการวิจัย วัตถุประสงค์ในการวิจัย สมมติฐานการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ข้อจํากัดของการวิจัย นิยามศัพท์ และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ กล่าวโดยรวมการเขียนบทที่หนึ่งถือเป็นบทนําที่จะนําผู้อ่านเข้าใจว่าผู้ทําวิจัยจะศึกษาเรื่องอะไร ปรากฏการณ์อะไร ปัญหาอะไร ปรากฏการณ์และปัญหาเหล่านั้นมีความสําคัญอย่างไร โดยศึกษาอาการของตัวแปรตามว่ามีสาเหตุมาจากอะไร หรือศึกษาตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามโดยจะถูกนําไปเขียนเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย และวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัย เมื่อวัตถุประสงค์สําเร็จแล้วจะได้ผลเป็นอย่างไรนั้นคือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรง ส่วนผลประโยชน์ที่จะได้รับตามมาอาจจะเป็นข้อเสนอแนะ หรือได้องค์ความรู้ใหม่แล้วแต่กรณี จะถูกนําไปเขียนในบทที่ว่าด้วยการสรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ โดยหัวข้อแรกของบทนําคือการเขียนความเป็นมาและความสําคัญของปัญหามีหลักการและวิธีในการเขียน ดังนี้

การเขียนความเป็นมาและความสําคัญของปัญหา

การเขียนภายใต้หัวข้อนี้เป็นการพรรณนาและอธิบายความเป็นมาของเรื่องที่วิจัยโดยพยายามชี้ให้เห็นถึงเหตุและผลที่มีพัฒนาการเป็นมาอย่างไร ในส่วนนี้เป็นการศึกษาแบบมองภาพรวมแล้วลดทอนให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกรอบแนวคิดการวิจัยแบบอนุมาน (deductive approach) และสื่อให้เห็นว่าจากความเป็นมาของเรื่องที่ศึกษาดังกล่าว ยังมีประเด็นที่ผู้วิจัยเห็น ว่ายังมีปัญหา หรือความไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ผู้วิจัยต้องการจะรู้ หรือต้องการนําความรู้ที่เชื่อถือได้ไปพิจารณาในการวางแผน การพรรณนาในหัวข้อนี้ชี้ให้เห็นถึงตัวแปรและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร โดยโยงถึงความสําคัญของปัญหา เช่นความเห็นของชาวสวนยางที่มีต่อราคายาง โดยผู้วิจัยได้กําหนดตัวแปรเหตุที่ทําให้ราคายางตกต่ำ ผู้วิจัยมีความสนใจว่าทําไมราคายางบางปีราคาดี บางปีราคาตกต่ำส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวนยางอย่างไร จึงอยากศึกษา ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการกําหนดราคายาง เพื่อที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะนําไปประกอบการวางแผนพัฒนานโยบายยางของรัฐบาลต่อไป จะเห็นว่าผลของการศึกษาเรื่องนี้มีความสําคัญในระดับนโยบาย เป็นต้น

 

 

แหล่งที่มาของปัญหาในการทำวิจัย

นอกจากความสนใจและการสังเกตของผู้วิจัยแล้ว การเก็บรวบรวมประเด็นข่าวทางเศรษฐกิจ และสังคม หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาที่สนใจ ตลอดจนการพูดคุยกับบุคคลที่มีประสบการณ์การวิจัยจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการกําหนดปัญหา ซึ่งแหล่งที่มาของปัญหาสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

  1. ปัญหาจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ เป็นปัญหาที่ผู้วิจัยค้นพบเอง ประกอบด้วย

1.1. ปัญหาที่ได้จากการสังเกตของผู้วิจัยโดยตรง ผู้วิจัยสังเกตเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในลักษณะที่สร้างผลกระทบกับหน่วยงาน ตัวบุคคลหรือสภาพแวดล้อม เช่น ปัญหาที่เกิดจากนโยบายของบริษัท ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการวางแผน การติดตาม และการประเมินผลการดําเนินงานของบริษัท เป็นต้น

1.2. ปัญหาที่ได้จากสถานการณ์ที่เป็นปัญหาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นสําคัญของสังคมโดยทั่วไป เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กจรจัด ปัญหาโสเภณี ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาความยากจน ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่มีต่อราคาสินค้าอุปโภค บริโภค และภาวะขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสหกรรม เป็นต้น

1.3. ปัญหาที่ได้จากคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพ เนื่องจากในแต่ละสาขาอาชีพมักมีปัญหาที่ต้องการการแก้ไข ดังนั้นการสอบถามปัญหากับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ประกอบการในสาขาอาชีพ จะทําให้ผู้วิจัยสามารถมองเห็นภาพรวมของปัญหาได้อย่างชัดเจน ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการวางแผน ดําเนินงานเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และสรุปผล อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ระยะเวลาที่เหมาะสม

  1. ปัญหาจากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เป็นปัญหาที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลของแหล่งข้อมูลซึ่ง มีอยู่มากมาย ตัวอย่างแหล่งข้อมูลสําคัญเช่น

2.1. รายงานภายในบริษัท ได้แก่ รายงานการเคลื่อนไหวของสินค้า งบการเงิน งบกําไร ขาดทุน บันทึกประจําวันเกี่ยวกับคนงาน ข้อมูลเหล่านี้ขอได้จากบริษัทโดยตรง สําหรับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สามารถขอซื้อข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

2.2. ข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ ทุกหน่วยงานหลักจะมีรายงานข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น เช่น สํานักงานสถิติแห่งชาติมีรายงานข้อมูลโครงสร้างประชากรของประเทศไทยและสถิติอื่นที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยจํานวนมาก กระทรวงพาณิชย์มีรายงานข้อมูลบริษัท ข้อมูลสินค้า ข้อมูลการนําเข้าส่งออกสินค้าและวัตถุดิบ กระทรวงอุตสาหกรรรมมีรายงานทุกชนิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมภายในประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรมีรายงานปัญหาทางการเกษตร สถิติเกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร กรมศุลกากรมีรายงานข้อมูลการส่งออกและนําเข้าผลิตภัณฑ์ เกือบทุกประเภท ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอากรและองค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมีรายงานเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวของไทยในเกือบทุกด้าน เป็นต้น

2.3. สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาธนาคารไทย เป็นหน่วยงานที่เป็นแหล่งข่าวที่ดีให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกและบุคคลภายนอกในด้านการทําธุรกิจ มีรายงานข้อมูลความเคลื่อนไหวการดําเนินงานของสมาชิก ภาพรวมด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบของกฎหมายใหม่ทั้งของไทยและประเทศคู่ค้าต่อการดําเนินธุรกิจ องค์กรเหล่านี้มีหน่วยงานย่อยภายในอีกมาก การเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานเหล่านี้สามารถสืบค้นผ่านเว็บไซต์ (Web Site) ของหน่วยงานหรือติดต่อกับหน่วยงานย่อยโดยตรง

2.4. สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เป็นสถาบันที่กําหนดนโยบาย สนับสนุน และเผยแพร่ผลการวิจัย ทั้งในด้านธุรกิจการค้า การลงทุน การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังทําการวิจัยเองด้วย ผู้ที่สนใจสามารถขอข้อมูลและขอรับการสนับสนุนการวิจัยได้จากเว็บไซต์ http://www.nrct.go.th/th/welcome.aspx

2.5. มหาวิทยาลัย เป็นสถาบันการศึกษาที่รวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่สําคัญในหลากหลายสาขาวิชา โดยเฉพาะสาขาวิชาที่มีการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตศึกษา ในบางมหาวิทยาลัยจะมีศูนย์วิจัยเฉพาะทาง เช่น ศูนย์วิจัยนวัตกรรมอาหาร และบริการที่ปรึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KU-FIRST) หรือศูนย์วิจัยพลังงานมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นต้น การเข้าถึงข้อมูลการวิจัยทําได้โดยติดต่อผ่านสํานักหอสมุด สํานักวิจัย คณะวิชา หรือนักวิจัยโดยตรง บางมหาวิทยาลัยจะมีศูนย์บริการวิชาการช่วยอํานวยความสะดวกด้วย ทั้งนี้อาจหาข้อมูลเบื้องต้นได้จาก Google หรือเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

2.6. องค์การระหว่างประเทศ องค์การธุรกิจเอกชน และสถาบันธุรกิจที่มีหน่วยงานวิจัยของตนเอง เช่น ธนาคารโลก (World Bank) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) และองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) เป็นต้น หน่วยงานเหล่านี้จะทําหน้าที่วิจัยเพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน เพื่อการพัฒนาประเทศ โดยทํารายงาน และเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณชน การเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานเหล่านี้สามารถติดต่อผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานได้โดยตรง

No Responses

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *